วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อัจฉริยะกับ 9 เทคนิคฝึกสมองไบรท์

อัจฉริยะกับ 9 เทคนิคฝึกสมองไบรท์
 
ชื่อของ "หนูดี" วนิษา เรซ ครูอนุบาลสาวสวยลูกครึ่งไทย-อเมริกันวัย 30 ปี หลายคนอาจจะพอคุ้นๆ หูและหน้าตาเธอขึ้นบ้างแล้ว โดยเฉพาะหลังจากออกรายการจับเข่าคุยกับสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรข่าวสุดฮอต ยิ่งส่งผลให้เธอดังเป็นพลุแตกกับความสวยรวยความเก่ง มากไปด้วยความสามารถของเธอ
 
"คุณหนูดี-วนิษา เรซ" ดีกรีผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เจ้าของโรงเรียนและสถาบันอัจฉริยะสร้างได้ อีกทั้งยังเป็นคนแรกที่ทำอาชีพเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพ ซึ่งไปถามใครที่ไหนเชื่อเถอะว่าน้อยคนนักที่จะรู้จักอาชีพนี้ เพราะเมื่อเอ่ยถึงการฝึกความอัจฉริยะหรือการพัฒนาสมองเรามักจะนึกถึงเด็กเล็กๆ ซึ่งน่าจะเหมาะกับการพัฒนาและฝึกฝนมากกว่าผู้ใหญ่ แท้ที่จริงแล้วผู้ใหญ่ทุกคนก็สามารถสร้างความเป็นอัจฉริยะได้ อย่างที่คุณหนูดีกล่าวว่า "สมองของเรามีเซลล์สมองเท่ากับไอน์สไตน์ " เพียงแค่ดูแลสมองให้มีสุขภาพดี ด้วยเทคนิคที่ควรเอ็กเซอร์ไซส์ให้สมองไบรท์ดังต่อไปนี้
 
1. จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85% เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยวซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออกแต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ
 
2. กินไขมันดีคนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมันซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวมน้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
 
3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
 
4. ใส่ความตั้งใจ การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้นทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
 
5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและ หวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
 
6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่นกินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
 
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
 
8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดีๆทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดีตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
 
9. ฝึกหายใจลึกๆ สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มาก ขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยาย
 
อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนตามเทคนิคง่ายๆทั้ง 9 ข้อนี้อาจจะไม่ทำให้เกิดอัจฉริยะข้ามคืนได้เพราะต้อง อาศัยระยะเวลาในการเรียนรู้ แต่สิ่งที่ได้ในเบื้องต้นคือการมีสุขภาพดีทั้งกายและ ใจแบบชนิดที่เรียกว่า "สวยทั้งภายในและภายนอก" อย่างแน่นอน

วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อีฟนิ่งพริมโรส

              
               อีฟนิ่งพริมโรส นั้น จัดเป็นพันธุ์ไม้ที่มีลักษณะเป็นพุ่มเล็กๆ มีดอกสีเหลือง ขึ้นอยู่ในแถบพื้นที่อบอุ่นและหนาวของทวีปอเมริกาเหนือตอนบน ชาวบ้านแถบนั้นเค้ารู้ซึ้งถึงคุณประโยชน์กันมานาน ถึ่งขนาดที่ตั้งชื่อให้ว่า "ราชาแห่งการรักษาโรคทุกชนิด" ด้วยคุณสมบัติจากเมล็ดเล็กๆในฝักของดอก เมื่อนำมาสกัดเป็นน้ำมันนั้น ก็จะได้กรดไขมันหลายชนิดที่สำคัญที่มีประโยชน์และร่างกายสามารถนำไปใช้ได้

ส่วนประโยชน์ของมันนั้นก็หลากหลายดังต่อไปนี้ค่ะ


1. บรรเทาอาการปวดก่อนมีประจำเดือน และอาการที่เกี่ยวเนื่องเช่น คัดหน้าอก ปวดตามข้อ

2. ทำให้ผิวพรรณเปล่งหลั่งมีน้ำมีนวล เส้นผมมีสุขภาพดี เงางามไม่แห้งแตกปลาย ไม่เป็นรังแค เล็บแข็งแรง

3. ลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด

4. ลดการเกิดสิว


5. ลดความดันโลหิต ทำให้เส้นเลือดแข็งแรง


6. ลดอาการปวดศีรษะไมเกรน ลดอาการปวดอักเสบตามข้อ


7. พื้นฟูสภาพตับในผู้ป่วยโรคพิษสุราเรื้อรัง


8. บรรเทาอาการหวัด ทำให้อ่อนเพลียเมื่อมีไข้


9. ช่วยป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวกันเป็นก้อน ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ


10.ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุได้


การรับประทานน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส

ถ้ารับประทานเป็นอาหารเสริม วันละ 1,000 มิลลิกรัม หลังอาหารทันที (หรือวันละ1เม็ด)


ถ้ารับประทานเพื่อรักษาโรค วันละ 3 กรัม หรือมากกว่านี้ ตามคำแนะนำของแพทย์

วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2553

กรดอะมิโนแอลคาร์นิทีน (L-carnitine)

กรดอะมิโนแอลคาร์นิทีน (L-carnitine)

เป็นกรดอะมิโน 1 ในจำนวน 20 ชนิดที่เป็นโมเลกุลพื้นฐานหรือโมเลกุลที่เล็กที่สุดของสารอาหารจำพวกโปรตีน และแอลคาร์นิทีน ถือเป็นกรดอะมิโนชนิดที่ร่างกายสามารถสร้างเองได้จากกรดอะมิโนที่เป็นสารตั้งต้น 2 ชนิดคือ กรดอะมิโนแอลไลซีน (L-lysine) และกรดอะมิโนเมไธโอนีน (Methionine) โดยจะต้องมีวิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆ ร่วมในกระบวนการสร้างกรดอะมิโนแอลคาร์นิทีนดังกล่าวมากมายหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินบี 6 หรือ Pyridoxin วิตามินบี 3 หรือ Niacin และธาตุเหล็ก

         ดังนั้นถึงแม้ว่าร่างกายจะสามารถสร้างกรดอะมิโนแอลคาร์นิทีนได้ด้วยตนเองที่ตับ และไตแต่หากร่างกายขาดปัจจัยตั้งแต่สารตั้งต้นและสารอื่น ๆที่เป็นปัจจัยร่วมในการสร้างดังกล่าวข้างต้น แม้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็อาจจะส่งผลทำให้ร่างกายเกิดภาวะบกพร่องหรือมีปริมาณกรดอะมิโนแอลคาร์นิทีนไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายได้ ดังนั้นเราก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องรับประทานกรดอะมิโนแอลคาร์นิทีน จากอาหารโดยเฉพาะจากเนื้อสัตว์ชนิดต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอด้วย

ประโยชน์ที่ได้รับ : กลไกการทำงานของกรดอะมิโนแอลคาร์นิทีน
 
ในการศึกษาทางการแพทย์เราพบว่าร่างกายของเราจะมีการนำเอากรดไขมันอิสระ (Free Fatty Acids) ที่ล่องลอยอยู่ในกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์เพื่อสร้างเป็นพลังงานสำหรับการทำงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่ร่างกายของเราต้องมีในแต่ละวันอยู่ตลอดเวลา และพบว่าความสามารถของเซลล์ในการนำเอากรดไขมันอิสระที่ล่องลอยอยู่ในกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์เพื่อนำไปเผาผลาญ เป็นพลังงานต่อไปนั้น ขึ้นอยู่กับสารประกอบทางเคมีตัวหนึ่งที่มีสูตรโครงสร้างหลักเป็นกรดอะมิโนแอลคาร์นิทีน โดยสารเคมีเชิงซ้อนดังกล่าวจะอยู่ที่บริเวณเยื่อหุ้มเซลล์ และเยื่อหุ้มไมโตคอนเดรีย (Mitochondria Membrane) และมีหน้าที่ในการนำพาโมเลกุลของไขมันอิสระเข้าสู่เซลล์และเข้าสู่ไมโตคอนเดรีย

บางครั้งจึงเรียกสารประกอบเชิงซ้อนที่มีโมเลกุลของกรดอะมิดนแอลคาร์นิทีนเป็นโครงสร้างหลักนี้ว่าโปรตีนตัวพา(CarrierProteins)และพบว่าหากเยื่อหุ้มเซลล์หรือร่างกาย

มีระดับของกรดอะมิโนแอลคาร์นิทีนในปริมาณต่ำก็จะส่งผลทำให้กระบวนการในการเผาผลาญไขมันในร่างกายด้อยประสิทธิภาพตามไปด้วยและเมื่อกระบวนการดังกล่าวด้อยประสิทธิภาพลงก็ย่อจะส่งผลทำให้กระบวนการสร้างพลังงานแย่ลงไป อาจส่งผลทำให้เกิดอาการอ่อนเปลี้ยหมดแรงในผู้สูงอายุบางคนหรือในเด็กที่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงแพทย์ก็มักจะมีการสั่งจ่ายกรดอะมิโนแอลคาร์นิทีนเพื่อให้เด็กคนดังกล่าวสามารถสร้างพลังงานจากกรดไขมันที่มีอยู่ในร่างกายเพื่อที่ร่างกายจะได้มีเรี่ยวแรงขึ้นมาได้ด้วยและนอกจากทำให้เกิดภาวะหมดเรี่ยวแรงในบางคนแล้วยังพบว่าการที่ร่างกายมีระบบเผาผลาญไขมันไม่ดีก็จะส่งผลทำให้เกิดภาวะการสะสมไขมันดังกล่าวไว้ตามเนื้อเยื่อไขมันที่อยู่ทั่วไปในร่างกาย และสามารถก่อให้เกิดปัญหาน้ำหนักตัวหรือปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมาได้ด้วยเช่นกัน

ขนาดที่ใช้ : คำแนะนำในการรับประทานแอลคาร์นิทีน
 
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการรับประทานกรดอะมิโนแอลคาร์นิทีนเพื่อให้ผลในการลดปริมาณไขมันในร่างกายนั้นจะต้องรับประทานควบคู่กับโปรแกรมการออกกำลังกาย เนื่องจากลักษณะการทำงานของกรดอะมิโนแอลคาร์นิทีน นั้นเป็นการทำงานตามธรรมชาติ นั่นคือจะทำงานมากขึ้นเมื่อร่างกายมีความต้องการ และเมื่อใดที่ร่างกายมีความต้องการ ? คำตอบก็คือเมื่อร่างกายมีการออกกำลังกายหรือมีความต้องการพลังงานอย่างมาก ซึ่งก็จะเป็นเวลาที่ร่างกายของเราดึงเอากรดอะมิโนแอลคาร์นิทีนมาใช้เพื่อช่วยดึงเอาไขมันที่สะสมอยู่ตามแหล่ง ๆ ของร่างกายให้ถูกย่อยสลายออกเป็นกรดไขมันอิสระในเลือด แล้วนำเข้าสู่เซลล์เพื่อนำไปย่อยสลายหรือเผาผลาญเป็นพลังงานตามความต้องการของร่างกายอีกต่อหนึ่ง เนื่องจากกรดอะมิโนแอลคาร์นิทีนเป็นสารที่ได้จากธรรมชาติ ดังนั้นยังไม่มีการวิจัยใดที่พบว่าการรับประทานกรดอะมิโนแอลคาร์นิทีนจะทำให้เกิดอาการข้างเคียงหรือเกิดความเป็นพิษ

ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานคือ วันละ 500 ถึง 2,000 มิลลิกรัม โดยไม่แนะนำให้รับประทานติดต่อกันเกินกว่า 6 เดือน เนื่องจากอาจจะทำให้ร่างกายของเราขาดกรดอะมิโนชนิดอื่น ๆ อีก 19 ชนิดได้ แต่ในผู้ที่มีความจำเป็นต้องรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานานให้หยุดพักทุก 6 เดือน แล้วในระหว่างที่หยุดพักควรรับประทานกรดอะมิโนชนิดอื่น ๆ ให้ครบทั้ง 20 ชนิดร่วมด้วย และการรับประทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์ นม หรือไข่ ก็พบว่าสามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้เช่นกัน

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แอล-คาร์นิทีน กับบทบาทเพื่อการลดน้ำหนัก

            แอลคาร์นิทีน(L-Carnitine) เป็นชื่อกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ผลิตได้ที่ตับ โดยมีการสังเคราะห์จาก กรดอะมิโน 2 ชนิดคือ Lysine และ Methionine พร้อมกับอาศัยตัวเร่งให้เกิดการสังเคราะห์ ได้แก่ Niacin วิตามิน B6 C และธาตุเหล็ก โดยปกติจะพบในสัตว์เนื้อแดงชนิดต่างๆ โดยเฉพาะในส่วนกล้ามเนื้อลายจะมากเป็นพิเศษ

ซึ่งในความเป็นจริงนั้น หน้าที่หลักของ Carnitine จะช่วยลำเลียงโมเลกุลไขมันเล็กๆ เข้าไปใช้ใน เซลล์ต่างๆ ซึ่งในจุดนี้เองที่จะทำให้เกิดการนำไขมันไปเปลี่ยนเป็นพลังงาน ดังนั้นหากร่างกายขาดสาร Carnitine หรือมีไม่เพียงพอที่จะเป็นตัวพาเม็ดไขมันไปเผาผลาญแล้วละก็ ปัญหาสุขภาพอันเนื่องมาจากไขมันสะสมก็จะเป็นเรื่องตามมาที่สามารถส่งผลเสียต่อร่างกายของคุณอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ความอ้วน และการสะสมของไขมันตามหลอดเลือด ซึ่งอาจจะส่งผลต่อความยืดหยุ่นของหลอดเลือด และ นำมาซึ่งปัญหาไขมันในเลือดสูงและมีความดันโลหิตสูงตามมาได้ นอกจากนี้ ยังอาจจะมีอาการปวดเมื่อย

กล้ามเนื้อแขนขา อ่อนเพลีย ซึมและเหนื่อยง่าย
 
มีงานวิจัยมากมายที่ยืนยันถึงประโยชน์ของการใช้ L-carnitine ในวงการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ ในผู้ป่วยที่มีปัญหากล้ามเนื้ออ่อนแรงมาก จนไม่สามารถตั้งศีรษะให้ตรงได้ ซึ่งหลังจากมีการใช้ L-carnitine ขนาด 2 กรัม/วัน อาการดังกล่าวก็หายไป หรือการใช้ในนักกีฬา ก็มีการยืนยันว่าสามารถเพิ่มแรงสำหรับการออกกำลังกายหนักๆ เช่น วิ่งมาราธอน รวมทั้งมีการใช้ L-carnitine เพื่อช่วยให้การ

ทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น

ในส่วนบทบาทในการลดน้ำหนักและลดไขมันสะสม ดูเหมือนว่า L-carnitine น่าจะเป็นคำตอบที่ดี ของคุณๆ ที่ประสงค์จะลดน้ำหนักด้วยสารธรรมชาติ เนื่องจากมีการทดลองนำเอาเซลล์ไขมัน (Adipose Tissue) ของคนอ้วนมาวิเคราะห์ พบว่าในเนื้อเยื่อดังกล่าวแทบจะไม่มี Carnitine อยู่เหลือ เลย ดังนั้นจากความสัมพันธ์นี้เอง ทีมนักวิจัยจึงตั้งสมมติฐานว่า กลไกการลำเลียงไขมันเพื่อไปใช้ หาก ถูกขัดขวางด้วยวิธีใดก็ตาม ก็จะทำให้เกิดการสะสมของไขมันได้ แต่หากให้สารชนิดนี้เพิ่มเข้าไป ก็จะ

ส่งผลให้อัตราการเผาผลาญของไขมันสะสมมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่สนับสนุนผล การลดไขมันสะสมของคนอ้วน โดยการศึกษาดังกล่าว นักวิจัยได้ให้แบ่งวัยรุ่นที่อ้วนเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก ให้รับประทาน L-carnitine ขนาด 2 g/วัน อีกกลุ่มได้ยาหลอก (Placebo) โดยทั้งสองกลุ่มถูกจำกัด อาหารให้มีแคลอรี่เท่าๆกัน และมีการออกกำลังกายขนาดปานกลางเหมือนกัน หลังจากนั้น 3 เดือน ต่อมาจึงทำการวัดน้ำหนักตัวอีกครั้ง พบว่ากลุ่มที่ได้รับ L-carnitine น้ำหนักตัวลดลงเฉลี่ย 11 ปอนด์ ขณะที่อีกกลุ่มลดลงเฉลี่ยไม่ถึง 2 ปอนด์ และปริมาณไขมันในกระแสเลือดก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

 
                          ดังนั้น L-carnitine ซึ่งแม้ว่าจะพบมากในสัตว์เนื้อแดงก็ตาม แต่ปริมาณที่ได้จากการทานใน 1 วัน จะให้กรดอะมิโนดังกล่าวเพียง 50-200 mg.เท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลงไขมันสะสมไปเป็นพลังงาน ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่าหากคุณต้องการลดน้ำหนักด้วยสารธรรมชาติ L-carnitine ขนาด 500-1,000 mg./วัน (1 cap 500 mg. หรือ แบบชนิดน้ำ 1000 mg/30 ml. สำหรับข้อดีในเรื่องการออกฤทธิ์ที่รวดเร็วขึ้น) น่าจะเป็นปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการลดน้ำหนัก และหากคุณมีดัชนีมวลร่างกาย (BMI) มากกว่า 25 ปริมาณการใช้จะสูงขึ้นตามลำดับ ซึ่งมีงานวิจัยที่ยืนยันความปลอดภัยจาก การใช้ว่า L-carnitine ยังไม่มีผลทางลบแม้จะรับประทานในขนาดสูงถึง 4 g./ วันก็ตาม

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

L-Carnitine ... แอลคาร์นิทีน

แอล-คาร์นิทีน เป็นชื่อของสารตัวหนึ่ง ที่ถูกสร้างขึ้นในร่างกายของเรานี่เองโดยสร้างขึ้นมาจากกรดอะมิโนสองตัวคือ ไลซีน (lysine) และเมไทโอนิน(methionine) ซึ่งแอล-คาร์นิทีนในร่างกายของคนเราถูกสร้างขึ้นไปใช้ในหน้าที่ต่าง ๆ หลายอย่าง ที่สามารถพูดในภาพรวมได้ว่า แอล-คาร์นิทีน ช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนกรดไขมันไปเป็นพลังงานนั่นเอง ซึ่งพลังงานที่ได้มานี้ส่วนใหญ่ก็ถูกใช้สำหรับการทำงานของกล้ามเนื้อทั่วร่างกายเรานั่นเอง จากหน้าที่การทำงานพื้นฐานของสารชนิดนี้ทำให้สื่อโฆษณานำมาใช้เป็นประเด็นหลักในการสร้างโฆษณาให้เห็นว่าเมื่อกินเข้าไปแล้วคุณจะอยู่นิ่งไม่ได้ รู้สึกคึกคัก คล้ายกับว่าร่างกายมีพลังงานมากเกิน
 

แอล-คาร์นิทีน ถูกสร้างขึ้นภายในตับและไตและนำไปเก็บไว้ที่กล้ามเนื้อลายตัวอย่างเช่น กล้ามเนื้อตามแขน ขา ของเรานั่นเอง นอกจากนี้ยังถูกลำเลียงไปที่กล้ามเนื้อหัวใจ สมองและสเปิร์ม ซึ่งในส่วนของสเปิร์มนั้นจะทำให้เคลื่อนที่ได้อย่างเหมาะสม เพราะแอล-คาร์นิทีนจะไปเร่งให้ไมโทคอนเดรียเปลี่ยนไขมันมาเป็นพลังงาน สำหรับในอาหารจะพบสารแอล-คาร์นิทีนได้จากอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ เนื้อแดง นม ผลิตภัณฑ์จากนม ผลไม้ ได้แก่ พวกผลอะโวกาโด(Avocado) ธัญพืช ผักใบเขียว ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วหมัก (tempeh)

คนที่รับประทานอาหารมังสะวิรัติอาจจะเกิดการขาดแอล-คาร์นิทีนได้ในบางครั้ง เนื่องจากแอล-คาร์นิทีน พบได้ในเนื้อสัตว์ นมและถั่วหมักหรือในผู้ป่วยบางรายที่มีปัญหาที่เกี่ยวกับการดูดซึมของระบบย่อยอาหาร รวมไปถึงในกรณีที่มีผู้ป่วยขาดแอล-คาร์นิทีน (ซึ่งพบน้อยมาก) ที่อาจเกิดจากความผิดปกติของยีนหรือตับ ไต หรือกินอาหารที่มีกรดอะมิโนไลซีนและเมไทโอนีนน้อย ก็จะมีอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ เจ็บหน้าอกเจ็บกล้ามเนื้อ แขนขาอ่อนแรง ความดันเลือดต่ำและอาจมีอาการมึนงงสับสนร่วมด้วย เป็นต้น

 
คาร์นิทีนที่นำมาใช้นั้นมีหลายลักษณะ เช่นผลิตภัณฑ์บรรจุเม็ดและสารน้ำ เป็นต้น โดยนำมาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมที่ออกมาใช้และรู้จักกันอย่างแพร่หลายนั้นมีอยู่สามรูปแบบ


- รูปแบบแรก คือ แอล-คาร์นิทีน(LC) เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายและมีราคาถูกที่สุด

- รูปแบบที่สอง คือ แอล-อะซิทิลคาร์นิทีน [L-acetylcarnitine(LAC)] เป็นเพียงรูปแบบเดียวที่นำมาใช้ในการรักษาโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer) และโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง

- รูปแบบสุดท้าย คือ แอล-โพรพิโอนิลคาร์นิทีน[L-propionylcarnitine(LPC)] ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาอาการเจ็บหน้าอกและโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจและใช้ได้ผลดีกับโรคที่เกี่ยวกับเส้นเลือดตามแขนขาอีกด้วย (peripheral vascular disease-PVD) ถ้าเรากินเข้าไปการดูดซึมของแอล-คาร์นิทีนจะเกิดขึ้นในลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ ส่วนแพทย์สามารถให้แอล-คาร์นิทีนกับผู้ป่วยได้ทั้งทางเส้นเลือดและโดยการกิน


สำหรับแอล-คาร์นิทีนนั้นมีข้อควรรู้ดังนี้ คือ

1.คาร์นิทีนทำให้แก่ช้าลง ในเหตุผลแรกนี้ก็ชวนให้เราหลงใหลใคร่อยากกินคาร์นิทีนกันแล้ว ที่คาร์นิทีนทำให้แก่ช้าลงก็เพราะเหตุผลที่ว่าเซลล์ในร่างกายทุก ๆเซลล์ไม่ว่าจะเป็นเซลล์สมอง เซลล์จากระบบภูมิคุ้มกัน เซลล์จากหัวใจหรือเซลล์จากที่อื่น ๆ ของร่างกายทั้งหมดจะทำงานได้ดีก็ต่อเมื่อได้รับพลังงานเพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการของเซลล์แต่ละชนิดและคาร์นิทีนนี่เองทำให้เซลล์มีอายุยืนนานขึ้น

2.คาร์นิทีนทำให้ระดับไตรกลีเซอร์ไรด์(triglycerides)อยู่ในระดับต่ำและช่วยเพิ่มระดับคอเรสเตอรอลที่มีประโยชน์ (HDL-คอเรสเตอรอล) ในเลือด

3. คาร์นีทีนช่วยป้องกันโรคหัวใจโดยมีผลทำให้สุขภาพโดยรวมของหัวใจดีขึ้น และช่วยป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวด้วย (1/3 ของสาเหตุที่ทำให้คนเป็นโรคหัวใจตาย)
 
4. คาร์นีทีน ช่วยให้น้ำหนักลดโดยเฉพาะการใช้ร่วมกับวิธีการที่เราลดอาหารจำพวกแป้งลงในอาหารแต่ละมื้อ

5. คาร์นีทีน ช่วยเพิ่มระดับพลังงานของร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่ทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บ หรือเกิดความเสียหายใด ๆ กับร่างกายเหมือนกับที่พบในสารสกัดจากพืชบางชนิด
 
6. คาร์นิทีนช่วยให้ความสามารถในการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น มีความทนทานมากขึ้นและป้องกันเนื้อเยื่อไม่ให้เกิดความเสียหายอันเนื่องมาจากปริมาณออกซิเจนในเซลล์ไม่เพียงพอ
 
7. คาร์นิทีนและ อะซีทีล-แอล-คาร์นีทีน(Acetyl-L-carnitine) ทำให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น
 
8. อะซีทีล-แอล-คาร์นีทีนช่วยลดความเสียหายของเซลล์ประสาทอันเนื่องมาจากความเครียดและอาจมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ แต่ได้ผลเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอายุน้อย ทำให้อาการของโรคไม่เป็นไปมากกว่านี้
 
9. อะซีทีล-แอล-คาร์นีทีน มีผลต่อสุขภาพจิตในทางบวกและลดภาวะความเครียด
 
10. คาร์นิทีนช่วยในการทำงานของตับ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของคนเรา
 

                แต่การใช้แอล-คาร์นิทีนมีข้อควรระวัง คือ สำหรับคนที่จะซื้อผลิตภัณฑ์แอล-คาร์นิทีนมาใช้ควรต้องระวังเพราะอาจมีผลข้างเคียงต่าง ๆ เกิดขึ้นกับร่างกายได้และอาจจะเข้าทำปฏิกิริยากับยาอื่น ๆ ที่กินร่วมกัน ดังนั้นในการใช้แต่ละครั้งควรอยู่ในความควบคุมดูแลของแพทย์จะปลอดภัยกว่าและข้อควรจำให้ขึ้นใจก็คือสารทุกอย่างมีทั้งประโยชน์และโทษในตัวเองขึ้นกับปริมาณและช่วงจังหวะเวลาของการใช้ ถึงแม้ว่าแอล-คาร์นิทีน จะไม่ปรากฏผลข้างเคียงใด ๆ ที่เด่นชัดมากนัก แต่ก็มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าถ้ากินเข้าไปมากขนาด 5 กรัมต่อวัน หรือมากกว่าอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้ ส่วนอาการข้างเคียงอื่น ๆ ที่อาจพบได้ เช่น มีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น มีกลิ่นตัวและเกิดอาการผื่นแดง ในนักกีฬาหรือคนที่กินแอล-คาร์นิทีนเสริมสำหรับการเล่นกีฬา เพื่อช่วยในการสลายไขมันและช่วยทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อดีขึ้น ก็ควรต้องหยุดใช้เพื่อให้กล้ามเนื้อได้พักบ้างอย่างน้อยเดือนละ 1 อาทิตย์ คือไม่ควรใช้อย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน สำหรับคนที่มีอาการแพ้ต่อ อาหารโปรตีน เช่น ไข่ นมหรือข้าวสาลีไม่ควรกินผลิตภัณฑ์ที่เสริม แอล-คาร์นิทีนเป็นอันขาด รวมถึงคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับและไต เด็กที่มีอายุยังไม่ถึง 2 ขวบและสตรีมีครรภ์ก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้ ถ้าจำเป็นก็ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์



วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

วิธีบรรเทาโรคเข่าเสื่อม

               โรคเข่าเสื่อม เป็นภาวะที่กระดูกอ่อนของข้อเข่าสึกหรอ ฉีกขาด จนไม่สามารถหล่อลื่นข้อเข่าให้ใช้งานเป็นปกติได้ บางครั้งอาจจะมีหมอนรองกระดูกฉีกขาดร่วมด้วย เมื่อกระดูกอ่อนสึกหรอจนถึงกระดูกแข็ง จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดเข่าเวลาลงน้ำหนักเข่าขณะเดิน หรือ ขึ้นลงบันได




           คนโดยทั่วไปอาจรู้สรรพคุณของใบโหระพา คือ ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการจุกเสียด
แน่นท้อง หรือนำมาเป็นน้ำมันหอมระเหย แต่ยังมีสรรพคุณมากกว่านั้น คือ สามารถรักษาโรคเข่าเสื่อมได้

โดยใช้โหระพาทั้งต้นไม่ต้องเด็ดรากทิ้งกะพอประมาณ จากนั้นนำไปล้างให้สะอาด ตำพอละเอียดผสมเหล้าขาว 40 ดีกรี เล็กน้อยคนให้เข้ากัน นำไปตั้งไฟแค่พอร้อน ทิ้งไว้ให้อุ่น นำไปพอกเข่าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ควรทำวันละ 1-2 ครั้ง

แต่ทางที่ดีควรหาเวลาไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการอย่างละเอียด.


ข้อมูล จาก เดลินิวส์

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก


                      ฉบับนี้ก็ยังมีเรื่องราวของมะเร็งสืบพันธุ์สตรีอีกชนิดหนึ่ง ที่คุณผู้หญิงทุกคนควรระวังไว้ นั่นก็คือ “มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก”

มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เป็นมะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์ในสตรีที่พบได้เป็นอันดับ 3 เป็นมะเร็งที่มีโอกาสรักษาหายขาดสูงมาก เนื่องจากผู้ป่วยมักมีอาการเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ซึ่งแพทย์ส่วนมากแล้วจะแนะนำให้ผู้ป่วยมาพบเมื่อรู้สึกว่ามีอาการผิดปกติ ทำให้การตรวจพบโรคในระยะแรกเริ่ม นำพาไปสู่การรักษาที่ดีได้มาก

สาเหตุของโรค ในปัจจุบันทางการแพทย์แบ่งกลุ่มของผู้ป่วยโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกเป็น 2 กลุ่ม คือ

1.กลุ่มที่เป็นโรคมะเร็งเนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจน มักพบในสตรีที่มีอายุน้อย ในผู้หญิงที่มีภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนเกินเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด

2.กลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน ซึ่งไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่คาดว่ามีความเกี่ยวข้องในเรื่องพันธุกรรมเป็นส่วนใหญ่ ที่มักพบในผู้ป่วยสูงอายุและเป็นชนิดที่มีความรุนแรงของโรคสูง

โดยทั่วไปแล้ว สตรีจะมีรอบเดือนตามฮอร์โมนในร่างกาย คือฮอร์โมนเอสโตเจน และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกเติบโตขึ้นและหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยผู้ป่วยมีภาวะหรือได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงขึ้นผิดปกติต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหลุดลอกออกมาไม่หมด และค้างอยู่ในโพรงมดลูกจนเกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกที่เรียกว่า ภาวะเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติ ซึ่งหากผู้ป่วยอยู่ในภาวะนี้นาน ๆ โดยไม่ได้รักษาก็จะกลายเป็นโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกในที่สุด

ดังนั้น ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคนี้มีอะไรบ้าง เริ่มที่สตรีที่ไม่มีบุตรหรือมีบุตรยาก, สตรีที่มีประจำเดือนตั้งแต่อายุน้อยและหมดประจำเดือนช้า, สตรีที่มีรูปร่างท้วมหรืออ้วน, มีประวัติญาติพี่น้องสายตรงเป็นโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก, ได้รับฮอร์โมนเอสโตร เจนในขนาดที่สูงเป็นเวลานาน, สตรีสูงอายุ และ สตรีที่มีประวัติเป็นโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง

คุณผู้หญิงที่มีปัจจัยดังกล่าวนี้ ควรหมั่นตรวจตรารอบเดือนของตัวเองว่ามีความผิดปกติใด ๆ หรือไม่ หากมีแล้ว ก็ให้สำรวจอาการว่า ตรงกับข้อมูลดังต่อไปนี้หรือไม่

สำหรับอาการของโรค ผู้ป่วยมักจะมาพบแพทย์ด้วยอาการเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดที่ไม่ใช่ประจำเดือน โดยเลือดออกกะปริดกะปรอยหรือออกมาปริมาณมากติดต่อกันหลายวันจนทำให้ผู้ป่วยมีภาวะซีดและอ่อนเพลียเกิดขึ้นเนื่องจากเสียเลือด อาการปวดท้องน้อย หากมีการดำเนินของโรคต่อไป ก็จะมีการกระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ เช่น รังไข่ ต่อมน้ำเหลือง รวมไปถึงปอด ซึ่งคุณผู้หญิงไม่ควรมองข้าม หากมีอาการเพียงเล็กน้อยก็ให้รีบไปพบแพทย์ทันที

การวินิจฉัยโรค แพทย์จะทำการตรวจร่างกายและตรวจภายใน ร่วมกับทำการขูดมดลูกผู้ป่วยเพื่อหาเซลล์มะเร็งของเยื่อบุโพรงมดลูกทางพยาธิวิทยา
ในส่วนของการรักษาโรค แพทย์จะทำการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง ตรวจอวัยวะภายในช่องท้อง ตัดมดลูกและรังไข่ ตรวจต่อมน้ำเหลืองบริเวณอุ้งเชิงกราน และต่อมน้ำเหลืองบริเวณเส้นเลือดใหญ่เอออร์ต้า (Aorta) ตรวจน้ำในช่องท้องหาเซลล์มะเร็ง

แล้วประเมินโรคว่าผู้ป่วยอยู่ในระยะใดของโรค หากเป็นมะเร็งระยะแรก ๆ การรักษาโดยการผ่าตัดก็เพียงพอ หากเป็นมะเร็งระยะที่มากขึ้นผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยการฉายแสงหรือให้ยาเคมีบำบัดขึ้นอยู่กับระยะ ของโรค

ด้านการป้องกันโรค ดังที่กล่าวมาแล้วว่า โรคนี้มีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนเอสโตรเจน เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการป้องกันโรคจึงสามารถทำได้ดังนี้
1.หลีกเลี่ยงการได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนหากไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ หากจำเป็นต้องรับฮอร์โมน เอสโตรเจนควรได้รับฮอร์โมนโปรเจส เตอโรนควบคู่กันไปด้วย เพื่อป้องกันภาวะเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติ ซึ่งเป็นภาวะแรกเริ่มของการเกิดโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

2.สตรีที่มีลักษณะของประจำเดือนผิดปกติ เช่น มาไม่สม่ำเสมอ มาขาด ๆ หาย ๆ มีประจำเดือนปริมาณมากในแต่ละครั้ง ร่วมกับมีลักษณะของการมีภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง เช่น หน้ามัน ขนดก เป็นสิวมาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้การรักษาแต่เนิ่น ๆ

3.สตรีที่มีภาวะปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าวมาแล้ว ควรไปรับคำปรึกษาจากแพทย์และตรวจภายใน เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลตนเองในการป้องกันโรค
4.หลีกเลี่ยงการรับประทานยาต่าง ๆ โดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะยากลุ่มสเตียรอยด์ ยาเม็ดลูกกลอน ยาสมุนไพรต่าง ๆ ที่ไม่ได้มาตรฐานจากกระทรวงสาธารณสุข เพราะอาจทำให้เกิดความผิดปกติของเยื่อบุโพรงมดลูกและกลายเป็น มะเร็งได้.

ข้อมูลจาก
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=493&contentId=45629

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

ถนอมส้นเท้า ไม่ให้แตก

เคล็ดลับสุขภาพดี

แนะวิธี "ถนอมส้นเท้า" ไม่ให้แตก ช่วยเสริมบุคลิกภาพ



เท้าเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยให้เราเคลื่อนที่ทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว และเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความสะอาดรวมทั้งบุคลิกภาพที่ดีของเราด้วย ถ้าเท้ามีสุขอนามัยที่ไม่ดีมีบาดแผลมาก หรือมีอาการส้นเท้าแตก นอกจากจะทำให้เกิดความเจ็บปวดรำคาญและขาดความมั่นใจแล้วยังอาจทำให้บาดแผลติดเชื้อแบคทีเรียได้ง่ายจนทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาได้

รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความรู้ว่า คนที่มีอาการส้นเท้าแตกปัจจัยสำคัญอันดับแรก คือ อายุที่มากขึ้นส่งผลให้ผิวทุกส่วนของร่างกายไม่เฉพาะส้นเท้าเกิดอาการแห้ง เนื่องจากผิวหนังชั้นล่างเริ่มไม่ผลิตน้ำมันรวมทั้ง มีปัจจัยอื่นช่วยเสริม อาทิ คนที่ไม่ดูแลผิวหนังบริเวณส้นเท้าและใช้เท้ามาก นอกจากนี้การสวมใส่รองเท้าไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น สวมรองเท้าส้นสูงบีบและแข็งเกินไปจะทำให้เกิดตาปลา และส้นเท้าแตกได้ เนื่องจากผิวหนังจะต้องสร้างเซลล์ผิวหนังให้หนาขึ้นเพื่อรองรับหรือทนแรงกระทบกระแทก ซึ่งเป็นสาเหตุให้ผิวบริเวณดังกล่าวเกิดความหยาบกร้าน

อย่างไรก็ตามสาเหตุและปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นสามารถป้องกันและรักษาได้เช่นกันด้วยวิธี
ล้างเท้าทั้งสองข้างทุกวันโดยแช่น้ำอุ่นผสมสบู่ประมาณ 10 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาดและเช็ดให้แห้ง ภายหลังจากทำความสะอาดเท้าแล้วและก่อนนอนควรชโลมด้วยครีมบำรุงผิวให้ทั่วและควรนวดฝ่าเท้าเพื่อช่วย ให้เท้าเนียนนุ่มเป็นการทำให้เท้า ผ่อนคลายเป็นประจำนับเป็นปัจจัยช่วยป้องกันปัญหาโรคเท้าอื่น ๆ ได้ และควรเลือกซื้อ ครีมที่มีสารชุ่มชื้น เช่น ยูเรียครีม แต่ต้องไม่ทิ้งครีมตกค้างบริเวณซอกนิ้วเพราะจะทำให้เกิดกลิ่นเหม็นจากการหมักหมมของเชื้อจุลินทรีย์
ควรเปลี่ยนรองเท้าถุงเท้าทุกวัน และนำรองเท้าไปทำความสะอาดและตากแห้ง ซึ่งแนะนำให้ใช้รองเท้าสลับกันสองคู่ เพื่อนำคู่ที่ ใส่แล้วไป ผึ่งแดด เวลาออกนอกบ้าน ไม่ควรสวมรองเท้าแตะและ
ควรทาครีมกันแดดที่เท้าเช่นเดียวกับผิวหนังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย

หรือหากใครที่มีอาการส้นเท้าแตกหรือเป็นตาปลาแล้วไม่ควรจัดการด้วยวิธีใช้มีดโกนมาตัดหนังหนา ๆ ที่ส้นเท้าหรือตาปลาเป็นอันขาด เพราะจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่เท้าบางรายแตกจนเห็นเลือดซิบ ๆ และมีโรคแทรกซ้อน เช่น เบาหวาน ไฮโปไทรอยด์ หรือบางรายที่เป็นเนื่องจากอ้วนมีน้ำหนักตัวมากไป กดทับเท้ามาก ๆ และต้องยืนนาน ๆ หรือเดินบนพื้นแข็ง ๆ ด้วยเท้าเปล่า ซึ่งถ้าปล่อยไว้ติดเชื้อที่แผลมีโอกาส เป็นบาดทะยักสูง

รศ.ดร.พิมลพรรณ บอกถึง วิธีดูแลเบื้องต้นสำหรับคนที่ส้นเท้าแตก คือ ใช้ครีมบำรุงผิวเข้มข้นทาบริเวณที่ หนา ๆ 2-3 ครั้งก่อนนอน จากนั้นใช้ถุงพลาสติกที่ใหม่และสะอาดมาห่อหุ้มเท้าจนถึงเช้า วิธีนี้เป็นการทำเซาน่าให้เท้าด้วยตนเอง เป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นและหล่อลื่นผิวที่รวดเร็ว โดยเนื้อครีมจะแทรกซึมเข้าผิวได้ดี ทำ เช่นนี้ 1-3 วันจะพบว่าเท้าเนียนขึ้นอย่างชัดเจน

เมื่อส้นเท้านุ่มขึ้นไม่มีอาการเจ็บแล้วควรใช้หินขัดเท้าค่อยๆ ขัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกทีละน้อยไม่ควรขัดทีละมาก ๆ เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยตัวยาซาลิไซลิค แอร์ซิด ซึ่งมีความเป็นกรดสูงช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้วออกจากผิว ทาวันละ 1-2 ครั้งทุกวันติดต่อกัน 1-2 สัปดาห์จะพบว่าผิวหนังแห้ง ๆ ทยอยหลุดออกเวลาอาบน้ำ ส้นเท้าของเราก็จะได้ผิวใหม่ที่เนียนนุ่ม ไม่แห้งกร้านอีกต่อไป.


ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เดลินิวส์

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

น้ำใบบัวบก




อย่าเข้าใจว่า ‘ใบบัวบก’ มีไว้ ‘แก้ช้ำใน’ อย่างเดียว เพราะสรรพคุณทางยาตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในผักใบเขียว ‘ใบบัวบก’ ยังมีอีกเพียบ อาทิ บำรุงสายตา บำรุงสมอง ควบคุมระดับแรงดันโลหิตให้เป็นปกติ ลดภาวะความเป็นหมัน ช่วยชะลอความแก่ ช่วยป้องกันร่างกายด้วยการกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกาย แก้ช้ำใน บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ขับปัสสาวะ แก้อาการเริ่มเป็นบิด ท้องร่วง เป็นยาขจัดเลือดเสีย แก้โรคผิวหนัง แก้พิษงูกัด ระดูขาว ดับพิษไข้ แก้อาเจียนเป็นเลือด และดีซ่าน เป็นต้น

บัวบก เป็นพืชปลูกง่าย มีประวัติการใช้ประโยชน์ทางยามานาน มีใช้ทั้งในตำราอายุรเวทของประเทศจีนและแพทย์แผนไทย พบมากในประเทศแถบยุโรป แอฟริกา อินเดีย ปากีสถาน และศรีลังกา พบว่า ส่วนสำคัญที่มีคุณสมบัติพิเศษอยู่ที่ ส่วนของใบ และราก

ศุกร์นี้ ‘กินดี’ จึงหยิบเมนูสุขภาพทำได้ไม่ยากมาให้ลอง เมนูที่ว่าคือ น้ำใบบัวบก เตรียมส่วนผสม 3 อย่างคือ ใบบัวบก 10 กรัม, น้ำเปล่าต้มสุก 240 กรัม และน้ำเชื่อม 15 กรัม น้ำเชื่อมจะใส่มากใส่น้อย หรือไม่ใส่ก็ตามชอบ

มาถึงวิธีทำ ล้างใบบัวบกให้สะอาด นำใส่เครื่องปั่นเติมน้ำต้มสุกเล็กน้อย แล้วปั่นจนละเอียด คั้นกรองเอาแต่น้ำ เติมน้ำเชื่อมปรุงรสตามใจชอบ

ข้อมูลจาก เดลินิวส์ 28/05/2553

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

อาหารสมุนไพรตามธาตุเจ้าเรือน






          วิถีชีวิตของคนไทยเกี่ยวพันกับการแพทย์แผนไทยมานานนับพันปี ซึ่งตามทฤษฎีการแพทย์ไทย กล่าวว่าเมื่อชีวิตปฏิสนธิขึ้น มีการเกิดของธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ สืบต่อกันมาแต่เกิด ดังนั้น เมื่อมารดาตั้งครรภ์ในฤดูอันใดในธาตุอันใด ก็เอาธาตุนั้นเป็นที่ตั้งแห่งกุมาร กุมารี ถือว่าเป็นธาตุประจำตัว หรือเรียกว่า "ธาตุเจ้าเรือน"
       ฉะนั้นการรับประทานอาหารที่มึคุณค่า ทางโภชนาการจะเสริมสร้างสุขภาพอนามัยให้แข็งแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับประทานอาหารสมุนไพรตามธาตุเจ้าเรือน ที่มีรสชาติหลากหลาย จะช่วยบำรุงและปรับธาตุที่หย่อนหรือกำเริบให้สมดุล เพราะการเจ็บป่วยเกิดจากการเสียสมดุลของธาตุทั้ง 4 บุคคลตามธาตุเจ้าเรือน

ธาตุไฟ คือ คนที่เกิดเดือน 2,3,4 หรือมกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม

ธาตุลม คือ คนที่เกิดเดือน 5,6,7 หรือเมษายน พฤษภาคม มิถุนายน

ธาตุน้ำ คือ คนที่เกิดเดือน 8,9,10 หรือกรกฎาคม สิงหาคม กันยายน

ธาตุดิน คือ คนที่เกิดเดือน 11,12,1 หรือตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม
อาหารตามธาตุเจ้าเรือน

ธาตุไฟ ควรรับประทานอาหารรสขม เย็น และจืด ได้แก่ ผักบุ้ง ตำลึง ผักกระเฉด สายบัว มะระ ผักปริง มะเขือยาว กะหล่ำปลี บัวบก กระเจี๊ยบมอญ สะเดา หยวกกล้วย กุ้ยช่าย เป็นต้น ผลไม้ ได้แก่ แตงโม แอปเปิ้ล มะละกอ พุทรา

 


ธาตุลม ควรรับประทานอาหารรสเผ็ดร้อน ได้แก่ ขิง ข่า ตะไคร้ กระชาย พริกไทย ดอกกระเจียว ขมิ้นชัน ผักไผ่ พริกขี้หนูสด สะระแหน่ ผักชีลาว ยี่เหร่า กะเพรา โหระพา เป็นต้น ผลไม้ ได้แก่ ชมพู่ แตงโม แตงไทย





ธาตุน้ำ ควรรับประทานอาหารรสเปรี้ยว หลีกเลี่ยงอาหารมันจัด ได้แก่ ขี้เหล็ก แคบ้าน ชะมวง ผักติ้ว ยอดมะกอก ยอดมะขาม มะเขือเครือ สะเดาบ้าน มะระขี้นก มะระจีน มะแว้ง ใบยอ มะเขือเทศ ตะลิงปิง เป็นต้น ผลไม้ ได้แก่ สับปะรด ส้ม มะเฟือง มะม่วง มะยม




ธาตุดิน ควรรับประทานอาหารรสฝาด รสหวาน รสมัน รสเค็ม ได้แก่ ผักกระโดน กล้วยดิบ ยอดมะม่วงหิมพานต์ สมอไทย กระถินไทย ผักหวาน ขนุนอ่อน ผักโขม โสน ขจร ยอดฟักทอง บวบเหลี่ยม ผักกูด ดอกงิ้ว เป็นต้น ผลไม้ ได้แก่ มังคุด ฝรั่ง เผือก เงาะ ถั่วต่างๆ





การดำรงชีวิตอยู่โดยใช้อาหารเป็นปัจจัยหลักนั้น นอกจากรสชาติแล้วจะต้องคำนึงถึงปริมาณที่พอดี รวมถึงการออกกำลังกายที่เหมาะสม คือ สัปดาห์ละไม่น้อยกว่า 3 วัน วันละ 30 นาที ก็จะช่วยให้จิตใจร่าเริงแจ่มใส และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี จะช่วยสร้างเสริมให้มีคุณภาพที่ดีและอายุยืน

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของการขัดผิว

           
                   ปกติ ผิวจะมีการผลัดเซลล์ผิวทุก 2-4 สัปดาห์ แต่เมื่ออายุเกิน 20 ปี การผลัดเซลล์ผิวจะช้าลง ทำให้เกิดปัญหาริ้วรอย และผิวหมองคล้ำ การขัดผิวด้วยฟองน้ำ เกลือขัดผิว แปรง หรือวิธีอื่นๆ จึงช่วยให้เซลล์ผิวผลัดตัวเร็วขึ้น ทำให้ผิวดูกระจ่างใส

- ผิวแห้ง การขัดผิวที่เสื่อมสภาพออก จะช่วยให้ครีมบำรุงผิวซึมซาบเข้าสู่ชั้นผิว ผิวจึงไม่แห้งตึง

- ผิวผสม ลดปัญหาการเกิดสิว ช่วยให้สีผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอ

- ผิวมัน ช่วยให้รูขุมขนสะอาดขึ้น ลดการอุดตัน และลบเลือนรอยดำจากสิว

- ผิวที่มีริ้วรอย กระตุ้นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติให้ทำงานดีขึ้น ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอย และความหมองคล้ำ ผิวจึงดูสดใสและอ่อนวัยขึ้น

- ผิวที่ไม่เรียบเนียน ช่วยลบเลือนจุดด่างดำและริ้วรอยที่เกิดจากสิว

- ผิวแตกลาย / ผิวเปลือกส้ม การขัดผิวด้วยฟองน้ำนุ่มๆ หรือใยบวบธรรมชาติที่แช่น้ำจนนิ่ม ในบริเวณที่ผิวแตกลาย เป็นคลื่น เป็นลอน ทุกวัน จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และลบเลือนริ้วรอยให้จางลงได้

การขัดผิวหน้าควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง โดยวนมือเป็นวงกลมเบาๆ หลังขัดผิวควรหามอยส์เจอไรเซอร์มาเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

รู้อย่างนี้แล้ว สาวคนไหนอยากมีผิวสวย อย่าลืมหันมาขัดผิวกันดีกว่า...


ที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

อาหาร ลด หลอดเลือด หัวใจ ตีบตัน

โรคหัวใจและหลอดเลือด ถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของประชากรโลก




ใน โลกนี้ทุกๆ 2 วินาทีจะมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคดังกล่าว และ 1 ใน 5 คนที่มีหลอดเลือดหัวใจตีบ-ตัน มักจะเสียชีวิตอย่างกะทันหัน โดยไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า ส่วนใหญ่เกิดกับชายในวัยทำงานที่กำลังสร้างตัวและขะมักเขม้นกับการหาเลี้ยง ครอบครัว สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ที่รวมไปถึงอัมพฤกษ์ อัมพาต ไตวาย และตามัวตามืดนั้น มีต้นตอที่เกิดจาก “โรคหลอดเลือดแดงตีบ-ตันจากตะกรันในหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งและเปราะ (Atherosclerosis)" ซึ่งโรคนี้นับเป็นมฤตยูร้ายต้นเหตุการเสียชีวิตอย่างแท้จริง

ปัจจุบัน พบว่าแนวโน้มการเกิดตะกรันในหลอดเลือดแดงทำให้หลอดเลือดแข็งและเปราะเพิ่ม ขึ้น เพราะวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เช่น พฤติกรรมในการบริโภค การออกแรงขยับเขยื้อนน้อยลง รวมไปถึงการไม่ได้ออกกำลัง การใช้ชีวิตที่รุมเร้าด้วยความไม่แน่นอนทำให้เกิดความเครียดเรื้อรัง ห่างไกลศาสนาขาดที่พึ่งทางใจ ดังนั้นคนทุกเพศทุกวัยมีโอกาสที่จะเกิดตะกรันในหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งและเปราะได้ทั้งสิ้น



อาการเริ่มแรกของโรคหัวใจขาด เลือด มักจะมีอาการเจ็บหน้าอก เจ็บแขนซ้ายหรือกราม อึดอัดหายใจไม่ออก อ่อนเพลียและเหงื่อออกง่ายกว่าปกติ โดยเฉพาะเมื่อหัวใจต้องทำงานหนัก เช่น ขณะออกกำลังกาย สามารถตรวจพบโดยการทดสอบสมรรถภาพหัวใจด้วยการเดินบนสายพานพร้อมบันทึกคลื่น หัวใจ
 
สำหรับ ปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยเสริมการเกิดตะกรันในหลอดเลือดหัวใจและสมอง มีทั้งปัจจัยที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้ เช่น เพศ อายุ และ พันธุกรรม เช่น การมีอายุมากขึ้น (ผู้ชายอายุ 45 ปีขึ้นไป ผู้หญิงอายุ 55 ปีขึ้นไป) มีประวัติสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด ปัจจัยเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนได้ 4 ประการแรกที่สำคัญคือ บุหรี่ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และเบาหวาน ปัจจัยเสริม ได้แก่ ความอ้วน ความเครียด เกลือ น้ำตาล ขาดการออกกำลังกายอย่างงสม่ำเสมอสำหรับการตรวจคัดกรองเบื้องต้น ได้แก่ วัดความดันโลหิต ตรวจเลือดวัดปริมานไขมันทั้ง 6 อย่าง วัดปริมาณน้ำตาลในเลือด รวมทั้งการให้ข้อมูลเรื่องประวัติการเจ็บป่วยของคนในครอบครัวกับแพทย์ด้วย


การ ป้องกันและดูแลสุขภาพด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม เริ่มต้นด้วยการเลิกทำร้ายผิวในของหลอดเลือด ด้วยการงดการสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงสูดควันบุหรี่ของคนอื่น ลดหรืองดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เลือกรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ อาทิ ผักสดผลไม้สดหลายรสและหลากสี เลี่ยงอาหารหวาน มัน เค็ม และอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง รับประทานอาหารแต่พอดีกับแคลอรี่ที่ใช้ในแต่ละวัน ป้องกันการสะสมไขมันที่ทำให้อ้วน มีการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเหมาะสม ไม่นั่งทำงานอยู่กับโต๊ะนานเกินไป หมั่นหาเวลาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ผ่อนคลายความเครียด รักษาความดันโลหิต ควบคุมระดับไขมันในเลือด และเบาหวาน ที่สำคัญควรตรวจสุขภาพเป็นประจำ

ผศ.ดร.เรวดี จงสุวัฒน์ ชมรมโภชนวิทยามหิดล เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้บริโภคมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผลดีผลเสียของการบริโภค น้ำมันแต่ละชนิดว่าน้ำมันชนิดใดดีต่อร่างกาย ชนิดใดไม่เหมาะสมต่อผู้ที่เป็นโรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง เป็นต้น หลายคนจึงเริ่มหลีกเลี่ยงน้ำมันไม่ดีหันมาใช้น้ำมันที่มีสัดส่วน กรดไขมันชนิดดีมากขึ้น ในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อสุขภาพที่ดี เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดชา น้ำมันคาโนล่า เป็นต้น ซึ่งพบว่าจะมี กรดไขมันดีคือชนิดไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวสูง กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว มีผลต่อการเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) และลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค หลอดเลือดและหัวใจ กรดไขมัน โอเมก้า 3 และ 6 ซึ่งเป็น "กรดไขมันจำเป็น" หมายถึง กรดไขมันที่ร่างกายสร้างไม่ได้ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น กรดไขมัน โอเมก้า 3 และ6 ที่ได้จากน้ำมันทานตะวัน ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและเป็นสารตั้งต้นในการสร้าง EPA และ DHA ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและ หลอดเลือด มีส่วนช่วยให้สมองและดวงตาทำงานได้ดี

ปัจจุบัน นักวิจัยพบว่าร่างกายของคนเราควรบริโภค กรดไขมันชนิด โอเมก้า 3 และ โอเมก้า 6 ในปริมาณที่พอเหมาะและในสัดส่วนที่สมดุลจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกาย โดยที่สถาบันแพทย์ University of Maryland แนะนำให้บริโภค โอเมก้า 6 โอเมก้า 3 ในสัดส่วน 4 : 1 เพื่อความสมดุลของร่างกายและช่วยป้องกันภาวะผิดปกติของร่างกาย ธรรมชาติไม่สามารถสร้างน้ำมันที่มีกรดไขมัน โอเมก้า 3 และ 6 ในสัดส่วนที่เหมาะสม จึงเป็นทางเลือกใหม่ในการบริโภคน้ำมันชนิดใหม่ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่าง “น้ำมันคาโนล่าผสมน้ำมันทานตะวัน” ซึ่งน้ำมัน 2 ชนิดนี้เป็นที่ยอมรับในกลุ่มผู้รักสุขภาพว่าเป็นน้ำมันที่ดีมีคุณค่าต่อ สุขภาพ โดยนำมาผสมในสัดส่วนน้ำมันคาโนล่า 4 ส่วนต่อน้ำมันทานตะวัน 1 ส่วน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ผ่านการค้นคว้าแล้วว่าสมดุลและเหมาะสมกับความต้องการของ ร่างกาย เพื่อให้ได้รับ กรดไขมัน โอเมก้า 3, 6 ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับการบริโภค

นอกจากนี้ Blended oil ที่เกิดจากการผสมของน้ำมันคาโนล่าและน้ำมันทานตะวันในสัดส่วนนี้ยังมี โอเมก้า 9 และวิตามินอีสูง มีจุดเดือดสูงถึง 230 องศา จึงสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายประเภท ทั้ง ผัด ทอด ย่าง หมัก ทำน้ำสลัด เป็นต้น การเลือกบริโภคน้ำมันที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายต่างๆ ซึ่งน้ำมันชนิดนี้มี โอเมก้า 3, 6 ในสัดส่วนที่สมดุลและเหมาะสมจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายและยังจะช่วย ส่งเสริมสุขภาพได้ จึงอาจจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของบริโภคในยุคนี้ การรู้ทันโรคร้าย หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง และปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โรคร้ายไหนๆ ก็มิอาจคุกคามคุณได้.


ที่มา : ดร. อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

วิธี นวดฝ่าเท้า ด้วยตัวเอง

      
               ใครที่ชอบนวดฝ่าเท้าเพื่อผ่อนคลาย วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีนวดฝ่าเท้าด้วยตัวเองมาฝาก....

- ล้างเท้าให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง ทาโลชั่นเพื่อให้ความชุ่มชื้น และเพื่อช่วยให้การนวดไม่ติดขัด โดยระหว่างการทาโลชั่นให้กดน้ำหนักลงไปให้ทั่วบริเวณเท้าด้วย
- ใช้มือจับเท้าข้างที่ต้องการจะนวดไว้
- ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ของมืออีกข้างหนึ่งกดลงที่เนื้อของหัวแม่โป้งเท้า
- ใช้นิ้วหัวแม่มือกดนวดที่หัวแม่เท้าขึ้นและลง ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง
- ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้จับที่ตาตุ่ม แล้วกดนวดเป็นวงกลม
- ใช้หัวแม่มือนวดตั้งแต่ตาตุ่มโค้งลงมาจนถึงส้นเท้าทั้ง 2 ด้าน
- นวดบริเวณส้นเท้าแล้วค่อย ๆ เลื่อนขึ้นมาจนถึงข้อเท้า จำไว้ว่าให้นวดไปในทิศทางเดียว คือนวดขึ้น
- ปิดท้ายการนวดด้วยการนวดบริเวณข้อเท้าอีกครั้งหนึ่ง

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าใครอยากผ่อนคลายจากฝ่าเท้า สามารถนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้



ขอบคุณ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

สารพัด วิธี ลดต้นขา อย่างเห็นผล

ทุก วันนี้ความสวยความงามของสรีระร่างกาย มักจะถูกกำหนดมตารฐานโดยรวมกับแพ็คเกจ จากคนในสังคมว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้นมีหรือเลดี้อย่างเราๆ จะยอมตกเกณฑ์มตารฐานที่ว่าต้องผอมเพรียว สูง สง่า ถึงจะเรียกได้ว่าสวยชนะเลิศ!

ไหนๆ จะสวยทั้งทีแล้ว ก็ต้องสวยแบบสวมมงกุฎเลยฟิตร่างกายได้ที่เพราะอะไรที่เขาว่า ‘ดี’ ก็ทำมาหมด แต่ปัญหาหนักอกที่ผู้หญิงต้องพบเจอกันไม่รู้จบส่วนใหญ่ก็คือต้นขา 3 คนโอบที่ใหญ่ชนิดอะไรก็หยุดไม่อยู่ บางคนไดเอทจนผอมโซ ต้นขาท่อนโตก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลง หมดโอกาสนุ่งน้อยห่มน้อย กลัวออกปากซอยโดนจิ๊กโก๋ล้อ ‘ขาโจ๋ ขาใหญ่’ อายเขาแย่เลย

หากสิ่งที่เล่าไป ทั้งหมดเป็นปัญหาที่คุณกำลังเสียเวลาขบคิด ชนิดจะหันไปพึ่งมีดหมอศัลยกรรมให้เฉือนหั่นเอาไขมันออกแล้วละก็ ตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งจะหาว่าไม่เตือนไม่ได้นะ เพราะเรายังมีวิธีการกระชับเรียวขาให้คุณเลือกลองใช้ตามความพอใจ แบบไม่อันตรายแต่เห็นผลด้วยเหมือนกัน

ว่ายน้ำ



เป็น วิธีแรกที่แนะนำให้ปฏิบัติ เพราการว่ายน้ำเป็นการบริหารได้ทุกสัดส่วนของร่างกาย รูปร่างดูเพรียวลงแล้วยังแข็งแรงขึ้นอีกด้วย โดยท่าที่จะให้ผลต่อเรียวขามากที่สุดก็คือ ‘ฟรีสไตล์’ ซึ่งคุณต้องตีขาควบคู่ไปกับการว่ายน้ำ



แต่ถ้าคุณต้อการหลักสูตรเร่งรัด ในการกระชับเรียวขา ขอแนะนำให้เหยียดมือตรงๆ เกาะขอบสระ แล้วตีขาสลับกันไปมา ซึ่งเป็นท่าเริ่มต้นของคนฝึกว่ายน้ำ ทำจนรู้สึกเหนื่อยจึงพัก แล้วทำซ้ำอีกสัก 10 เที่ยว คุณก็จะรู้สึกว่าร่างกายเผาผลาญช่วงต้นขาให้เพรียวลงได้จริงๆ

การบริหารร่างกาย



สำหรับท่านที่คิดว่าการบริหารบนบกจะถนัด หรือสะดวกกว่า ก็ปฏิบัติตามท่าต่อไปนี้

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

เซลลูไลท์ ที่ไม่น่าพิสมัย

                    หยิบเรื่องของ "เซลลูไลท์" หรือผิวเปลือกส้มมาพูดถึงคราใดก็คงไม่ตกสมัย เพราะเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งที่เล่นงานคุณผู้หญิงจำนวนไม่น้อย



เซลลูไลท์ชอบมาก่อตัวอยู่ที่สะโพก หน้าท้อง ต้นขา และแก้มก้น แหม... ล้วนแต่จุดที่คุณผู้หญิงอยากให้เรียบเนียนทั้งสิ้น แถมยังกำจัดได้ยากเสียด้วย รู้ไว้เถอะ... การกำจัดเซลลูไลท์เป็นเรื่องยากมาก แม้จะมีการออกกำลังกายหรือควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด ก็ช่วยสลายเซลลูไลท์ได้เพียงบางส่วนเท่านั้น




การก่อตัวของเซลลูไลท์สืบเนื่องมาจากชีวิตความเป็นอยู่ที่เร่งรีบ ไม่มีเวลาออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ไม่ถูกสัดส่วน และการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน ส่งผลให้เกิดสะสมของไขมันอย่างผิดปกติบริเวณภายใต้ชั้นผิวหนัง ผลที่ตามมาก็คือ ผนังที่หุ้มเซลล์จะเกิดการบิดเบี้ยวและเกิดการดึงรั้ง ทำให้ผิวหนังเป็นคลื่นกระจายอยู่โดยรอบ ผิวจึงดูคล้ายผิวเปลือกส้ม และการไหลเวียนของโลหิตเป็นไปอย่างช้า ๆ




อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่าปัญหาเซลลูไลท์สามารถแก้ไขหรือขจัดได้ด้วยเครื่อง มืออันทันสมัยและเครื่องมือที่ว่านี้มีชื่อเรียกว่า เครื่องเซลลูไลท์ IP ค่ะ




เครื่องเซลลูไลท์ IP เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีประโยชน์มากทีเดียว ไม่ได้จำกัดเฉพาะการสลายเซลลูไลท์เท่านั้น สำหรับผู้ที่ผิวหนังไม่กระชับหรือเป็นคลื่นที่เกิดจากการดูดไขมันหรือลดความ อ้วน เมื่อทำแล้วก็สามารถช่วยให้ผิวที่ไม่กระชับหรือเป็นคลื่นคืนกลับมากระชับ และเรียบเนียนขึ้นได้

นอกจากจะช่วยทำให้ผิวหนังทั่วเรือนร่างดีขึ้นแล้ว เครื่องเซลลูไลท์ IP ยังช่วยรักษาใบหน้าให้ดูดีขึ้นได้อีกด้วย เป็นต้นว่า ช่วยลดริ้วรอย (wrinkles) บนใบหน้า ลดความหย่อนยานบนใบหน้า ลดความดำขอบตาที่คล้ำ ช่วย re-shape รูปลักษณ์บนใบหน้า ชะลอความแก่ตัวของเซลล์บนผิวหนัง (Anti-Aging) ลดถุงไขมันใต้ตา (ในกรณีที่เป็นไม่มาก) เพิ่มการหมุนเวียนของเลือดบนใบหน้า ทำให้ผิวหน้ามีชีวิตชีวาดีขึ้นค่ะ


ที่มาจาก สวยด้วยแพทย์

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

แขม่ว ท้อง ช่วยลดพุงได้

           เวลา ที่หิวจัด หลายคนมักจะลืมตัวกิน กิน กินแล้วก็กิน อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะถ้ามีงานปาร์ตี้ด้วยแล้ว ก็จะกระหน่ำกินกันให้คุ้มไปเลย แต่พอกินอิ่มนี่สิ เจ้าพุงน้อย ๆ มันดันยื่นออกมา จนความมั่นใจหายไปเลย



วิธีที่มักใช้อำพรางพุงที่หลาย ๆ คนใช้ก็คงไม่พ้นการแขม่วท้องเอาไว้ เวลาที่อยู่ต่อหน้าคนจำนวนมาก ๆ...แล้วการแขม่วท้องมันช่วยลดพุงได้จริงหรือ เราไปติดตามกันค่ะ



การ แขม่วท้องนั้นสามารถช่วยลดพุงได้ เพราะเป็นการออกกำลังกายอย่างง่าย ๆ และสามารถทำได้ตลอดเวลา การแขม่วนั้นเป็นการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง ทำให้ร่างกายได้ใช้พลังงานตลอดเวลา ไม่มีการสะสมของไขมัน ช่วยให้กล้ามเนื้อกระชับขึ้น



อีกทั้งการแขม่วท้องยังช่วยให้ระบบขับถ่ายดี แก้ปัญหาท้องผูก ทำให้ขับถ่ายสะดวก รู้สึกสบายท้อง และการแขม่วท้องคล้ายกับการฝึกทำสมาธิ อานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้า- ออก ยุบหนอ พองหนอ รู้สึกที่ท้อง ท้องเป็นจุดรวมของความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ทำให้เกิดปัญญา



นอกจากนั้นแล้ว การแขม่วท้องยังเป็นการทำให้เรา ได้ตระหนักถึงพุงที่ยื่นออกมามากกว่าปกติ เป็นการเตือนให้เราระมัดระวังเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ

ได้ เห็นประโยชน์ของการแขม่วท้องกันแล้ว ทีนี้ก็ได้เวลามาบริหารกล้ามท้องแล้ว มาแขม่วท้องลดพุงกันดีกว่าค่ะ เพื่อสุขภาพ และรูปร่างที่ฟิตแอนด์เฟิร์ม...

Credit : www.kapook.com

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

ท่าบริหารลด ต้นขา ให้เรียวสวย

ก่อนที่จะเข้าสู่ท่าการบริหารต้นขาคุณจะต้องปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดในการ warm up ร่างกายทุกครั้ง เพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บ บางท่าของการบริหารต้นขาแต่ละส่วนมีให้เลือกทำ คุณสามารถเลือกท่าที่คุณถนัด หรือจะบริหารครบทุกท่าเลยก็ได้


บริหารต้นขาด้านหน้า 1



1. นอนหงายราบลงบนพื้น สอดมือทั้งสองข้างรองไว้ที่ก้น งอเข่าซ้ายเข้าหาอก แล้วเหยียดขาขวาตรงขึ้นข้างบนอย่างช้าๆ



2. เมื่อเหยียดขาขวาได้สุดแล้ว ให้นิ่ง และหายใจตามปกติ



3. ให้รู้สึกได้ถึงความตึงที่ต้นขาด้านหน้า และด้านหลังของลำขาทั้งหมด



4. กลับสู่ท่าเริ่มต้นใหม่ โดยให้เข่าขวางอเข้าหาหน้าอก แล้วเหยียดขาซ้ายตรงขึ้นข้างบนบ้าง ทำสลับกันเช่นนี้ ให้ได้ข้างละ 10-15 ครั้ง (1 เซ็ท)



5. ควรปฏิบัติ 3 เซ็ท / วัน 3-5 วัน / สัปดาห์





บริหารต้นขาด้านหลัง 1



1. นอนคว่ำหน้าลงบนหลังมือทั้งสองข้าง โดยมีเบาะรองพื้น



2. กดสะโพกให้แนบติดพื้น ขณะเดียวกันก็เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องเอาไว้



3. ค่อยๆ งอขาขวาเข้าหาก้นอย่างช้าๆ โดยต้นขาด้านหน้ายังแนบติดกับพื้นเบาะ



4. นิ่งสักครู่ก่อนที่จะลดเท้าลงเหมือนเดิม จะรู้สึกได้กับกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังในขณะปลายเท้างอเข้าใกล้กัน



5. สลับขาข้างซ้ายในทำนองเดียวกัน ทำเช่นนี้ให้ได้ข้างละ 10-15 ครั้ง (1 เซ็ท)



6. ควรปฏิบัติ 3 เซ็ท/วัน 3-5 วัน /สัปดาห์



ข้อ แนะนำ : ควรควบคุมจังหวะในการบริหารให้สม่ำเสมอ ร่างกายส่วนบนต้องนิ่ง ยกขาขึ้นในแนวตรง ไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง กดสะโพกแนบพื้นอยู่เสมอ

 

บริหารต้นขาด้านนอก 1



1. นอนตะแคงเอียงข้างซ้าย(หรือขวาก็ได้ตามแต่จะถนัด)ลงบนเบาะ ร่างกายอยู่ในแนวเส้นตรง หนุนศีรษะด้วยฝ่ามือด้านซ้าย โดยต้นแขนวางราบยันพื้นไว้



2. มือขวาวางอยู่บนพื้นด้านหน้า เพื่อช่วยพยุงน้ำหนักตัว ขาซ้ายงอเล็กน้อย



3. สะโพกตรง เกร็งกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องไว้



4. ค่อยๆ ยกขาขวาขึ้นอย่างช้าๆ โดยไม่ต้องเกร็งหัวเข่า



5. เมื่อยกได้สูงสุดแล้วให้นิ่งไว้สักครู่ จากนั้นค่อยๆ ลดขาลง แล้วหยุดอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย



6. จะรู้สึกได้ถึงความตึงของต้นขาด้านนอกขณะที่ยกขาขึ้น



7. สลับขาข้างซ้ายในทำนองเดียวกัน ทำเช่นนี้ให้ได้ข้างละ 10-15 ครั้ง (1 เซ็ท)



8. ควรปฏิบัติ 3 ชุด / วัน 3-5 วัน / สัปดาห์




 

บริหารต้นขาด้านใน 1



1. นอนตะแคงข้างซ้ายบนเบาะ หนุนศีรษะด้วยฝ่ามือด้านซ้าย โดยต้นแขนวางราบยันพื้นไว้



2. งอเข่าขวาชี้ตรงมาด้านหน้า ท่อนล่างทำมุมฉากกับต้นขา โดยวางเข่าขวาบนพื้น หรือยกพ้นพื้นเล็กน้อย



3. ขาซ้ายเหยียดตรง พยายามดึงกล้ามเนื้อจากเท้าขึ้นตามแนวของต้นขา



4. ยกขาซ้ายขึ้นสูงให้เป็นแนวเส้นตรง แล้วลดลง



5. จะรู้สึกได้กับความตึงของต้นขาด้านใน ขณะที่ยกขาขึ้นจากพื้น



6. สลับขาข้างซ้ายในทำนองเดียวกัน ทำเช่นนี้ให้ได้ข้างละ 10-15 ครั้ง ( 1 เซ็ท)



7. ควรปฏิบัติ 3 เซ็ท / วัน 3-5 ครั้ง / สัปดาห์






ข้อควรระวังหลังออกกำลังกาย และเกิดการเหนื่อยเต็มที่

ห้ามหยุดนิ่งทันที ถ้าต้องหยุดยืนควรขยับเท้าช้าๆ เพื่อให้ชีพจรค่อยๆ เต้นช้าลงทีละน้อย

ห้ามนั่งลงทันที



ที่มาจาก นิตยสาร Health Today

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

บริหาร หน้าท้อง โดย ไม่ต้องซิตอัพ

นอกจากการบริหารแบบคาร์ดิโอ เพื่อเพิ่มการเผาผลาญแคลอรีและไขมันแล้ว การทำกายบริหารเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ก็เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของหน้าท้องแบนราบ และก็ใช่แต่ว่าคุณจะต้องทำซิตอัพ หรือครันช์เพื่อบริหารหน้าท้อง ยังมีทางเลือกอื่นที่ช่วยคุณบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องได้เช่นกัน!

Funky Abs

บริหารหน้าท้องและหลังส่วนล่าง

วิธีการ ยืนแยกเท้ากว้างกว่าช่วงสะโพก งอเข่าเล็กน้อย กดไหล่ลง เกร็งหน้าท้องแล้วแอ่นช่วงเชิงกรานมาด้านหน้า จนหลังงอเล็กน้อย จากนั้น กลับสู่ท่าเริ่มแล้วเปลี่ยนมาแอ่นช่วงเชิงกรานไปด้านหลัง ทำเซ็ตละ 15 ครั้ง 2 เซ็ต

Ballerina Twist

บริหารหน้าท้องและลำตัว

วิธีการ นั่งลงบนพื้น ยืดขาออกมาด้านหน้า ต้นขาชิดกัน ปลายนิ้วเท้าชี้ไปด้านหน้า เกร็งหน้าท้องแล้วเอนตัวไปด้านหลัง วางแขนช่วงล่างลงกับพื้น ฝ่ามือวางราบปลายนิ้วชี้ออกนอกตัว เริ่มด้วยการวางแขนซ้าย แล้วยกแขนขวาขึ้นเหนือศีรษะพร้อมกับบิดลำตัวไปทางซ้าย แล้วกลับสู่ท่าเริ่มต้น จากนั้น เปลี่ยนแขนแล้วบิดตัวไปด้านขวาบ้าง ทำสลับกัน 20 ครั้งเป็นหนึ่งเซ็ต ทำ 2 เช็ต

Twist and Drop

บริหาร แขน หน้าท้อง ลำตัว และขา

วิธีการ ยืนกางเท้ากว้างกว่าช่วงไหลเล็กน้อย ย่อตัวจากช่วงสะโพก แล้ววางมือทั้งสองข้างลงบนพื้นด้านหน้าเท้าห่างออกไปราวหนึ่งฟุต ก้มศีรษะลงเกร็งหน้าท้องเอาไว้ ยกเท้าซ้ายขึ้นแล้ววาดเท้ามาด้านหน้าเท้าขวา พร้อมกับงอเข่าขวาลง และลดสะโพกลงหาพื้น พยายามให้ขาซ้ายเหยียดตรงเอาไว้ จากนั้น กลับสู่ท่าเริ่มต้น แล้วเปลี่ยนมาทำแบบเดียวกันกับขาอีกข้างหนึ่ง ทำสลับกันจนครบ 12 ครั้ง ถือเป็นหนึ่งเซ็ต ทำซ้ำ 2 เซ็ต

ที่มา ... Lisa

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

1 นาที ก็หุ่นสวยได้

     การออกกำลังไม่จำเป็นต้องทำให้ชีวิตของคุณวุ่นวาย แต่สามารถเป็นเรื่องง่าย ๆ ด้วยการหาเวลาครั้งละหนึ่งนาทีตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย และเพิ่มเคล็ดลับง่าย ๆ ต่อไปนี้เข้าไปในชีวิตประจำวันของคุณ

ทำท่าลันจ์เช้าและกลางคืน

สิ่งแรกในตอนเช้าและสิ่งสุดท้ายก่อนเข้านอน ทำท่า Rear Lunges (ก้าวไปด้านหลังยาว ๆ และย่อเข่าจนต้นขาขนานกับพื้น) 5 ครั้งกับขาแต่ละข้าง จากนั้นก็ทำท่าสควอช (กางขาย่อเข่า) 5 ครั้ง เวลาเพียงแค่หนึ่งนาทีนี้จะทำให้คุณได้ทำท่าลันจ์เพิ่มขึ้น 300 ครั้ง และท่าสคอวช 150 ครั้งในแต่ละเดือน ซึ่งถือเป็นการกระชับขาและบั้นท้ายที่ยอดเยี่ยมมาก

 
ใช้การรอให้เป็นประโยชน์

ในขณะที่ยืนหรือนั่งรอคิวอะไรอยู่ก็ตาม ลองเกร็งและคลายกล้ามเนื้อก้นของคุณตลอดหนึ่งนาที และเมื่อทำเสร็จก็แขม่วท้องสัก 300 เพื่อบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง

กระชับกล้ามเนื้อระหว่างโฆษณา

โดยลองทำท่าบริหารบั้นท้ายต่อไปนี้ ขณะที่ทีวีคั่นโฆษณานอนหงาย งอเข่า เท้าวางราบกับพื้น เหยียดเท้าขวาไปข้างหน้าให้อยู่เหนือพื้น 6-8 นิ้ว หายใจเข้า แล้วกดส้นเท้าซ้ายพร้อมกับยกก้นขึ้นจากพื้น หายใจออก เกร็งกล้ามเนื้อก้นราว 15 นาทีทำซ้ำ 15 ครั้ง โดยสลับขากัน

บริหารน่องบนบันได

เมื่อก้าวขึ้นบันไดไปได้ทุกสามขั้น ให้คุณทำท่า Calf Raises (เขย่งยืนบนปลายเท้าแล้วหย่อนส้นเท้าลงให้ต่ำกว่าขั้นบันได) 5 ครั้ง

วิดพื้นในออฟฟิศ

จะช่วยบริหารหน้าอก ทำให้เลือดสูบฉีด และทำให้สมองสดชื่นขึ้น เริ่มด้วยการยืนขึ้น ก้มตัวไปข้างหน้า วางฝ่ามือลงกับขอบโต๊ะ (ให้แน่ใจด้วยนะว่าโต๊ะมั่นคงแข็งแรงไม่เขยื้อนแน่) กดตัวลงต่ำให้ลำตัวตรง จากนั้นดันตัวขึ้นตรง ๆ ทำให้ได้มากครั้งที่สุดในหนึ่งนาที

ออกกำลังที่โต๊ะทำงาน

การทำท่าสคอวชและท่าเขย่งเท้า เป็นท่าที่ง่ายดายมากสำหรับทำในที่ทำงาน ลองยืนอยู่หน้าเก้าอี้ เหยียดแขนออกไปข้างหน้า แล้วย่อเข่าลงทำท่าเหมือนจะนั่งลงบนเก้าอี้ แต่อย่าให้ก้นแตะเก้าอี้ จากนั้น ก็ยืนขึ้นแล้วเขย่งเท้า ทำซ้ำแบบนี้ 8-12 ครั้ง

ปั้นหุ่นตอนเจ๊าะแจ๊ะ

เวลาที่คุยโทรศัพท์อยู่ยืนตรงโดยให้ส้นเท้าชิดกัน ปลายเท้าทางออกเป็นรูปตัว V จากนั้น ย่อสะโพกลงจนกระทั่งหัวเข่ายืนเลยปลายเท้าออกไป พยายามเกร็งต้นขาด้านในขณะที่คุณยืดตัวขึ้น ทำ 20 ครั้งแบบช้า ๆ เมื่อถึงครั้งสุดท้าย ขณะที่อยู่ในท่างอเข่าให้คุณยกส้นเท้าขึ้นและลดลง 8-15 ครั้ง เพื่อบริหารน่องด้วย ถ้ายังพูดไม่เลิกก็ทำต่อเช็ตที่ 2 รับรองว่าเมื่อพูดจบขาจะสวยขึ้นเยอะเลยล่ะ

บริหารกล้ามเนื้อคอ

วางฝ่ามือข้างที่ถนัดลงบนหน้าผาก และกดมันแรง ๆ ราวห้าวินาที ทำซ้ำที่ด้านข้างทั้งซ้ายและขวาของศีรษะ การทำอย่างนี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้กล้ามเนื้อคอแข็งแรงขึ้น มันยังช่วยป้องกันการบาดเจ็บ ทำให้การวางท่าทางของคุณดีขึ้น และยังช่วยคลายอาการปวดหัว เนื่องจากความเครียดได้ด้วย

เดินบนบันไดเลื่อน

คุณได้ยินมานับล้านครั้งว่าให้ขึ้นบันไดแทนลิฟต์ แต่ถ้าเป็นบันไดเลื่อนล่ะ การเดินขึ้นและลงราวกับว่ามันเป็นบันไดตามปกติ คุณจะเผาผลาญแคลอรีมากขึ้นถึงเจ็ดเท่าเมื่อเทียบกับการยืนเฉย ๆ แล้วรอให้บันไดเลื่อนขึ้นไป

เดินไปมาตอนทำงาน

การเดินกลับไปกลับมาในขณะที่พูดโทรศัพท์ หรือพูดคุยเรื่องงานกับเพื่อนร่วมงาน จะเผาผลาญมากกว่าหนึ่งเท่าครึ่ง เมื่อเทียบกับการนั่งเฉย ๆ หรือเท่ากับการเผาผลาญเพิ่มขึ้นอีก 61 แคลอรีต่อชั่วโมงหรือ 30,134 แคลอรีต่อปีเชียวนะ

 
เพิ่มพลังการขึ้นบันได

แทนการเดินเอื่อย ๆ ขึ้นบันได ค่อย ๆ เพิ่มความเร็วและจำนวนของขั้นบันไดที่คุณก้าวขึ้นเป็นทีละสองขั้น ถ้าคุณสามารถทำได้อย่างปลอดภัย คุณจะได้บริหารกล้ามเนื้อก้นมากขึ้นด้วย



CREDIT : www.kapook.com